วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552
สัปดาห์ที่3ของการปิดเทอม
มีความสุขมาก มีเค้กมาเซอร์ไพรส์ เป็นวันที่มีความทรงจำมากมาย และจะจดจำวันนี้ไว้ตลอด^^
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552
สัปดาห์ที่ 2ของการปิดเทอม
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552
สัปดาห์ที่ 1ของการปิดเทอม
มีพ่อเพื่อนไปด้วยหนึ่งคน ตอนแรกเรากะจะนอนเต๊นท์กันแต่ว่ามีรายงานว่าฝนจะตก เลยปรับแผนไปนอนรีสอร์ทในแก่งกระจาน พอเช้าวันที่6 ก้เล่นน้ำ น้ำเชี่ยวมากเลยได้แผลไปตามๆกัน แล้วก้เดินทางไปหาดชะอำหาที่พักกัน ตกเย็นก้ปั่นจักรยานรอบๆหาด แล้วก่อนนอนกินขนมเยอะมากพอหนังท้องตึงหนังตาหย่อนก็หลับสนิทเลย ตื่นเช้ามาก็เล่นน้ำทะเลต่อเลย แล้วก็แวะกินอาหารทะเลก่อนกลับ กทม. พอถึงก็แยกกันกลับทางใครทางมัน กลับมาถึงบ้านมีคนทักว่าตัวดำไปเยอะเล่นน้ำหนักใช่ไหม่?? เป็นคำที่ได้ยินบ่อยมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก้ต้องขอบคุณ คุณพ่อของพวกเราที่ทำให้เราได้สนุกกันมากมายขนาดนี้ ^^
ขอบคุณคร่า
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
ดาว
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ใกล้วันแม่แล้วนะคะ ^^
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ 1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน 2. จัดกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ 3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่ 4. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่
การจัดงานวันแม่แห่งชาติในประเทศไทย
งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ
สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่ สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่คือ ดอกมะลิ ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย
คำขวัญวันเเม่ ประจำปี พ.ศ.2550 "ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณ คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย"
เพลงที่ใช้ในวันเเม่ ค่าน้ำนม คือ เพลงอย่างเป็นทางการที่ใช้ในงานวันเเม่เเห่งชาติ เเต่งขึ้นโดย อาจารย์ สมยศ ทัศนพันธ์ ได้เรียบเรียงบทเพลงที่เรียกได้ว่า ขึ้นหิ้งอมตะ และเป็นงานเพลงชิ้นเอก ซึ่งได้ฟังเมื่อไร เป็นต้องหวนระลึกถึงบุญคุณของเเม่เเละวันคืนเก่าๆ ของวิถีไทยในสมัยก่อน เนื้อเพลง นอกจากจะให้เราระลึกถึงพระคุณเเม่เเล้วยังทำให้เรามองเห็นขนบดั้งเดิมตามวิถีไทย หลายอย่างจากเนื้อเพลง เช่นการศึกษาของผู้ชายไทยสมัยก่อนนั้น มักจะอยู่ในวัดวาอาราม ซึ่งเป็นแหล่งสอนสั่งความรู้ ทางโลก อ่านออกเขียนได้ และ ทางธรรม อันได้แก่ การถือศีล และยิดมั่นในพระรัตนไตร นอกจากนั้น ยังมีความเชื่อกันอีกว่า หากลูกชายบ้านใหน ได้บวชเรียน ก็จะส่งแผ่ อานิสงค์ไปให้กับพ่อแม่ ได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสู่ที่ดีๆ เมื่อถึงกาลแตกดับ ท่วงทำนองเสนาะโสต และ ทุ่มเย็น กับคำร้องที่ตรงไป ตรงมา ชวนให้นึกภาพตามได้ไม่ยาก แม้แต่เด็กเล็กๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครฟังเพลงนี้แล้วจะต้องหลั่งน้ำตาให้กับความซาบซึ้งแห่งรักที่แม่ มีให้เรา... เพลง ค่าน้ำนม แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไรมิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย ( ซ้ำ *, ** )
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เพลง
เนื้อเพลงค่ะ
รอเธอ รอจะพบเธอมาตั้งหลายวัน รอเธอ เพื่อจะพูดกันเรื่องที่ค้างคา ขอบคุณอีกครั้ง ที่วันนี้เสียเวลามา ก็เข้าเรื่องเลยนะ บอกลากันซะทีจะดีมั้ย *ยื้อก็เหมือนเราจะยิ่งเหนื่อย รักไม่ช่วยอะไรเลย ฉันไม่ยอมเปลี่ยน..เธอไม่ยอมเปลี่ยน ยังคงทำตัวเหมือนเคยๆ ปรับความเข้าใจกันไปมันก็ซ้ำเก่า ทั้งๆ ที่รักกันแต่เราเข้ากันไม่ได้เลย เมื่อเราต่างไม่เคยจะยอมลด ก็ควรจะลา ใจจริง ก็ยังเสียใจและก็เสียดาย เธอเองคงจะเสียใจคงไม่แพ้กัน แต่ว่าอย่างน้อยก็เคยใช้ชีวิตร่วมกัน จะเก็บในใจฉันว่าเราเคยรักกันมากแค่ไหน (ซ้ำ *) ชีวิตเรา เราคืนให้กัน วันที่แสนสุข วันที่แสนเศร้า กับเรามันคงเป็นแค่วันวาน อะไรที่แล้วมา ขอให้ผ่านไปไม่ติดค้างกัน นับตั้งแต่นี้ เราเป็นแค่เส้นขนาน ที่คงไม่มีวันกลับมาเจอ (ซ้ำ *)
เพลง : เหลวแหลก
ศิลปิน :ไฮเปอร์
อัลบั้ม : ใส่ร้ายป้ายสี
รู้ว่าเธอไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเฉยชา ทั้งที่เธอทุ่มเทให้ฉัน... ทั้งใจ ก็ฉันยังกลัว ไม่กล้าเอ่ยคำบอกรักไป ถึงแม้ว่าใจจะมีแต่เธอเสมอมา * เพราะมีบางอย่าง ที่ค้างคาอยู่ในใจ มันคืออดีต ที่ยากเกินกว่าใจฉันจะลบเลือน ** ถ้าฉันเคยเหลวแหลก แล้วเธอจะยังรักไหม ถ้าฉันเคยเป็นของใคร แล้วเธอรับได้หรือเปล่า ถ้าหัวใจที่ให้เธอ...ดวงนี้ ยังมีรอยแผลเก่า อยากรู้ว่าเธอจะรักกันอีกไหม ฉันต้องทนตั้งเท่าไหร่ เพื่อให้ใจที่รักเธอ ซ่อนอาการที่จะเปิดเผยรักไป ก็คิดว่าฉันไม่คู่ควรเธอสักเท่าไร เพราะรู้ว่าใจมันคงไม่มีคุณค่าพอ
(*,**) (**)
เนื้อเพลง: หวั่นไหว อัลบั้ม: Drive
รู้ก็ทั้งรู้ว่าเธอเป็นใคร และฉันก็ไม่คิดจะปีนขึ้นไป คงไม่มีทางจะเป็นไปได้ ก็เรานั้นมันต่างกัน ทำได้แค่เพียงเจียมตัวมันไป วัน วัน ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็ไม่รู้เพราะความบังเอิญ หรืออันที่จริงฉันนันจงใจ เวลาที่เธอมายืนใกล้ ใกล้ ก็ยังเผลอไปสบตา รู้ก็ทั้งรู้ว่าคงไม่มีปัญญา คงไม่มีหวัง ไม่อยากจะเหลียวมอง ฉันคอยบอกตัวเอง แต่ยังทำไม่ได้ ไม่อยากจะสนใจ รู้ว่าไม่มีทาง แต่ก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมายังหวั่นไหว ยังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน ฉันต้องคอยหักห้ามใจ (มันยังอดใจไม่ได้ มันยังห้ามใจไม่ได้) อดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ เพียงแค่แอบเผลอมองตา จะผิดไหม เก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืน ฉันต้องทำตัวเช่นไร ช่วยบอกได้ไหมเธอ
เครดิตจาก www.siamzone.com ขอบคุณคร่า
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สูตรคณิตศาสตร์
สมการกำลังสอง
เราสามารถหาคำตอบของสมการ ax2 + bx + c = 0 ได้จากสูตร x = เมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัว a 0 และ b2 – 4ac 0 สมการกำลังสอง ax2 + bx + c = 0 เมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัว a 0 และ b2 – 4ac <>
พหุนาม
เอกนาม คือ นิพจน์ที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปการคูณของค่าคงตัวกับตัวแปรตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป โดยที่เลขชี้กำลังของตัวแปรแต่ละตัวเป็นศูนย์หรือจำนวนเต็มบวก พหุนาม คือ นิพจน์สามารถเขียนในรูปเอกนามหรือสามารถเขียนในรูปการบวกของเอกนามตั้งแต่สองเอกนามขึ้นไป การแยกตัวประกอบของพหุนาม การแยกตัวประกอบของพหุนาม คือ การเขียนพหุนามนั้นในรูปของการคูณของพหุนามที่มีดีกรีต่ำกว่า พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว คือ พหุนามที่เขียนได้ในรูป ax2 + bx +cเมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัวที่a 0 และ x เป็นตัวแปร การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง x2+ bx + c เมื่อ b และ c เป็นจำนวนเต็ม ทำได้เมื่อสามารถหาจำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้ c และ บวกกันได้ b ให้ d และ e แทนจำนวนเต็มสองจำนวนดังกล่าว ดังนั้น de = c d + e = b ฉะนั้น x2 + bx + c = x2 + (d + e)x + de = ( x2 + dx ) + ( ex + de ) = ( x + d )x + ( x + d )e = ( x + d ) ( x + e ) ดังนั้น x2 + bx +c แยกตัวประกอบได้เป็น ( x + d ) ( x + e ) ตัวอย่าง (6x-5) (x+1) = (6x-5) (x) + (6x-5) (1) = 6x2 – 5x + 6x – 5 = 6x2 + (5x+6x) – 5 = 6x2 -5x +6x -5 = 6x2 + x – 5 จากตัวอย่างข้างต้น อาจแสดงวิธีหาพหุนามที่เป็นผลลัพธ์ได้ดังนี้ 1. (6x – 5)(x + 1) = 6x2 - พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บหลัง = พจน์หน้าของพหุนามของผลลัพธ์ 2. (6x - 5)(x + 1) = -5 -พจน์หลังของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หลังของพหุนามวงเล็บหลัง = พจน์หลังของพหุนามของผลลัพธ์ 3. (6x – 5)(x + 1) = 6x + (-5x ) - พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หลังของพหุนามวงเล็บหลัง + พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บหลัง พจน์กลางของพหุนามที่เป็นผลลัพธ์ การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์ กำลังสองสมบูรณ์ คือ พหุนามดีกรีสองที่แยกตัวประกอบแล้วได้ตัวประกอบเป็นพหุนามดีกรีหนึ่งซ้ำกัน ดังนั้น พหุนามดีกรีสองที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์แยกตัวประกอบได้ดังนี้ x2 + 2ax + a2 = ( x + a )2 x2 – 2ax + a2 = ( x – a )2 รูปทั่วไปของพหุนามที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์คือ a2 +2ab + b2 และ a2 -2ab +b2 เมื่อ a และ b เป็นพหุนาม แยกตัวประกอบได้ดังนี้ สูตร a2 +2ab + b2 = ( a + b )2 a2 -2ab +b2 = (a-b)2 การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองที่เป็นผลต่างของกำลังสอง พหุนามดีกรีสองที่สามารถเขียนได้ในรูป x2 – a2 เมื่อ a เป็นจำนวนจริงบวกเรียกว่า ผลต่างของกำลังสอง จาก x2 – a2 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้ x2 – a2 = ( x + a ) ( x – a ) สูตร x2 – a2 = ( x + a ) (x-a) การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองโดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์ การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง x2 + bx + c โดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์ สรุปได้คือ 1. จัดพหุนามที่กำหนดให้อยู่ในรูป x2 + 2px +c หรือ x2 -2px +c เมื่อ p เป็นจำนวนจริงบวก 2. ทำบางส่วนของพหุนามที่จัดไว้ในข้อ 1 ให้อยู่ในรูปกำลังสองสมบูรณ์ โดยนำกำลังสองของ p บวกเข้าและลบออกดังนี้ x2 + 2px +c = ( x2 + 2px + p2 ) – p2 + c = ( x + p)2 – ( p2 - c ) x2 – 2px + c = ( x2 - 2px + p2 ) – p2 + c = ( x - p)2 – ( p2 - c ) 3. ถ้า p2 – c = d2 เมื่อ d เป็นจำนวนจริงบวกจากข้อ 2 จะได้ x2 + 2px + c = ( x + p)2 – d2 x2 - 2px + c = ( x - p)2 – d2 4. แยกตัวประกอบของ ( x + p )2 – d2 หรือ ( x – p )2 – d2 โดยใช้สูตรการแยกตัวประกอบของผลต่างของกำลังสอง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสูงกว่าสองที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเต็ม พหุนามที่อยู่ในรูป A3 + B3 และ A3 - B3 ว่าผลบวกของกำลังสาม ตามลำดับ สูตร A3 + B3 = ( A + B )( A2 –AB + B2) A3 - B3 = ( A - B )( A2 +AB + B2)
การทดลองสุ่ม คือ การกระทำที่เราทราบว่าผลทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง แต่ไม่สามารถบอกอย่างถูกต้องแน่นอนว่าจะเกิดผลอะไรจากผลทั้งหมดที่เป็นไปได้เหล่านั้น จากการทดลองสุ่มและเราสามารถเขียนทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นจากการทดลองสุ่มได้ โดยอาจใช้แผนภาพช่วย แซมเปิลสเปซ คือ กลุ่มของผลลัพธ์ที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมดจากการทดลองสุ่ม ความน่าจะเป็นทางปฏิบัติ = - ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ จะเป็นจำนวนใดจำนวนหนึ่งตั้งแต่ 0 ถึง 1
สถิติ
ในเรื่องสถิตินี้ประกอบไปด้วย 1.ตารางแจกแจงความถี่ จะประกอบด้วย 1. อันตรภาคชั้น คือ ช่วงของตัวเลขที่แบ่งเป็นชั้นๆในตารางแจกแจงความถี่ 2. ข้อมูลดิบ คือ ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลโดยตรง 3. ความถี่ คือ จำนวนของข้อมูลดิบในแต่ละช่วงของอันตรภาคชั้น ความรู้ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่ 1. ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่ จำนวนอันตรภาคชั้นที่นิยมใช้กันคือ 5 ถึง 15 อันตรภาคชั้นตามความมากน้อยของข้อมูล 2. ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่ ความกว้างของอันตรภาคชั้นไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกชั้น 3. ในกรณีที่มีคะแนนดิบเป็นจำนวนมากๆ ถ้าค่าที่น้อยที่สุดและค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นเป็นค่าที่สังเกตได้ง่าย การบันทึกกร่อยคะแนนจะสะดวกขึ้น 2.ขอบล่าง = ค่าที่น้อยที่สุดของอันตรภาคชั้นนั้น + ค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นที่ต่ำกว่าหนึ่งชั้น/2 3.ขอบบน = ค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นนั้น + ค่าที่น้อยที่สุดของอันตรภาคชั้นที่สูงกว่าหนึ่งชั้น/2 4. ความกว้างของอันตรภาคชั้น = ขอบล่าง – ขอบบน 5. จุดกึ่งกลางชั้น= หรือ จุดกึ่งกลางชั้น = ค่าที่น้อยที่สุดของอันตรภาคชั้น + ค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้น/2 6. ค่ากลางของข้อมูล ค่ากลางของข้อมูล คือ ค่าที่สามารถนำมาแทนข้อมูลกลุ่มนั้นๆ เพื่อที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นๆได้ ค่ากลางของข้อมูล สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ 1. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล 2. ฐานนิยม คือ ข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลนั้น 3. มัธยมฐาน คือ ค่าที่อยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมดซึ่งเมื่อเรียงข้อมูลชุดนั้นจากน้อยไปมาก หรือจากมาไปน้อยแล้ว ข้อมูลที่มากกว่าค่านั้น
เครดิตhttp://k.domaindlx.com/mymath/math12.htm